สำหรับนักเทรดทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ บริษัทเหล่านี้ได้รับผลกระทบในวงกว้างทั้งในและนอกพรมแดนของสหราชอาณาจักร นักเทรดสามารถใช้ความรู้ด้านการดำเนินกิจการเพื่อทำความเข้าใจตลาดและสร้างโอกาสให้กับตัวเอง
คำจำกัดความของเราสำหรับบริษัท ‘ใหญ่ที่สุด’
ไม่มีวิธีใดเลยที่เรียบง่ายในการระบุขนาดของบริษัท แต่ทว่าการวัดขนาดธุรกิจโดยทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีที่เราจะใช้ นั่นคือการวัดมูลค่าตามราคาตลาด ซึ่งคำนวณโดยการคูณจำนวนหุ้นของบริษัทที่ชำระแล้วของบริษัทด้วยราคาหุ้นของบริษัท ทำให้ได้มูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นบริษัทที่ชำระแล้วที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่านี้ให้ข้อมูลแก่นักเทรดในการประเมินมูลค่าสาธารณะของบริษัทในตลาด ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น
สิบอันดับบริษัทใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร
อันดับ | บริษัท | มูลค่าตลาด (พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)* |
---|---|---|
1 | เชลล์ | 190 |
2 | แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) | 178 |
3 | ลินเด้ | 137 |
4 | เอชเอสบีซี (HSBC) | 121 |
5 | ยูนิลีเวอร์ | 116 |
6 | บีพี | 98 |
7 | ดิอาจิโอ | 97 |
8 | ริโอ ทินโต | 91 |
9 | บริติช อเมริกัน โทแบคโค | 90 |
10 | แกล็กโซสมิธไคลน์ (GlaxoSmithKline) | 62 |
*อ้างอิงจาก CompaniesMarketCap.com, ณ วันที่ 23 กันยายน 2022
ผู้บริโภคสามารถจดจำบริษัทพวกนี้บางแห่งได้ง่ายมาก ในขณะที่ไม่รู้จักบริษัทอื่นๆ มากนัก ในฐานะนักเทรด ทุกบริษัทมีความสำคัญกับเรา โดยมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมและตลาดของพวกเขา ขนาดของบริษัทในสหราชอาณาจักรเหล่านี้ยังห่างไกลจากขนาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ บางแห่ง แต่ยังมีอีกห้าบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทในสหราชอาณาจักร บริษัททั้งหมดจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนและเป็นส่วนหนึ่งของดัชนีเอฟทีเอสอี 100 ซึ่งติดตามได้ในรายชื่อหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกของสหราชอาณาจักร
1. เชลล์ (SHEL)
เชลล์เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 43 ของโลก และเป็นบริษัทที่เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรเมื่อพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เชลล์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก กว่า111 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่สิ้นปี 2021 ซึ่งบริษัทยังมีมูลค่าไม่ถึง 90 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น การเพิ่มมูลค่าส่วนใหญ่มาจากการที่เชลล์รวมสองหุ้น (A และ B) ในเดือนมกราคม 2022 จากการดำเนินกิจการในเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ในความพยายามที่จะ ‘ลดความซับซ้อน’ ของบริษัท
เชลล์ก่อตั้งขึ้นในปี 1907 จากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทขนส่งและบริษัทน้ำมันปิโตรเลียมของเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ในปี 1920 บริษัทได้กลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทน้ำมันที่มีนักลงทุนเป็นเจ้าของรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากเอ็กซอนโมบิล เท่านั้น บริษัทมีการดำเนินงานทั่วโลกในกว่า 140 ประเทศ มีสถานีบริการมากกว่า 44,000 แห่ง
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ก๊าซมีความสำคัญต่อธุรกิจของเชลล์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีการเข้าซื้อกิจการของกลุ่มบีจีในปี 2016 นอกจากนี้ เชลล์ยังเป็นเจ้าของแบรนด์อื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น เพนน์ซอยล์ เควเกอร์สเตท และ จิฟฟี่ลูป บริษัทได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจในแนวดิ่ง โดยการมีบทบาทในทุกส่วนของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ตั้งแต่การสำรวจ การขนส่ง ไปจนถึงการซื้อขาย การเติบโตของบริษัททำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับเก้าของโลกระหว่างปี 1988-2015 และเป็นเจ้าของสำนักงานใหญ่ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุโรป รองจากฟ็อลคส์วาเกิน (Volkswagen)
2. แอสตร้าเซนเนก้า (AZN)
แอสตร้าเซนเนก้าเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร บริษัทนี้เป็นหนึ่งในบริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ แอสตร้าเซนเนก้าก่อตั้งขึ้นในปี 1999 จากการควบรวมกิจการของบริษัทยาในสวีเดนและอังกฤษ และเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนหนึ่งของการเติบโตนี้มาจากการเข้าซื้อกิจการหลายครั้ง อย่างเช่น เคมบริดจ์ แอนติบอดี เทคโนโลยี และสไปโรเจน
ในฐานะบริษัทเภสัชกรรม แอสตร้าเซนเนก้ามีค่าใช้จ่ายมหาศาลในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีศูนย์วิจัยและพัฒนาหลักสามแห่งตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร สวีเดน และสหรัฐอเมริกา และบริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาราวปีละ 6-9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แอสตร้าเซนเนก้ามีความเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปมากขึ้น ด้วยบทบาทในการช่วยพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีนป้องกันโควิด-19
3. ลินเด้ (LIN)
ลินเด้เป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของบริษัทสองแห่งในปี 2018 โดยบริษัททั้งสองก่อตั้งในเยอรมนีและสหรัฐฯ เมื่อราวหนึ่งศตวรรษก่อน หลังจากควบรวมกิจการแล้ว บริษัท ลินเด้ จำกัด ได้จดทะเบียนในไอร์แลนด์ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองกิลฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
ลินเด้ให้บริการลูกค้าในหลากหลายสาขา ตั้งแต่การดูแลสุขภาพและการกลั่นน้ำมันไปจนถึงใยแก้วนำแสง เคมีภัณฑ์ และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักของลินเด้ยังคงเป็นโรงงานแปรรูปที่สกัดหรือผลิตก๊าซ ซึ่งลินเด้ถือเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตก๊าซอุตสาหกรรม บริษัทผลิตและจัดจำหน่ายก๊าซต่างๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงออกซิเจน ไนโตรเจน ฮีเลียม และอื่นๆ อีกมากมาย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลินเด้ได้มุ่งสู่ธุรกิจด้านพลังงานและการขนส่งที่ยั่งยืน โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภาไฮโดรเจน ซึ่งลงทุนในยานพาหนะไฮโดรเจน ลินเด้คาดว่ายานยนต์เหล่านี้จะแข่งขันกับยานยนต์ไฟฟ้าได้ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ดูเหมือนว่าบริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการผลักดันเรื่องนี้ โดยการเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการผลิต การแปรรูป การจัดเก็บ และการกระจายไฮโดรเจน ด้วยความช่วยเหลือจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เปลี่ยนน้ำเป็นไฮโดรเจน
4. เอชเอสบีซี (HSBC)
ลำดับที่สี่ของเราคือธนาคารเพื่อการลงทุนข้ามชาติและสถาบันบริการทางการเงินของอังกฤษ เอชเอสบีซี สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร แต่มีสาขาย่อยตั้งอยู่ในสหรัฐฯ และดำเนินกิจการใน 63 ประเทศ ถือเป็นกิจการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ไม่ใช่แค่ในสหราชอาณาจักร หากพิจารณาในแง่ของสินทรัพย์รวมณ เดือนธันวาคม 2021 ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากลูกค้ามากกว่า 40 ล้านคนและพนักงาน 219,000 คนทั่วโลก
เอชเอสบีซีแบ่งธุรกิจออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มความมั่งคั่งและการธนาคารส่วนบุคคล กลุ่มการธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มการธนาคารและตลาดทั่วโลก ในแต่ละกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ เอชเอสบีซีให้บริการลูกค้าประเภทต่างๆ กัน ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งขนาดและความเป็นมา ตั้งแต่บุคคลทั่วไปไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ เอชเอสบีซีมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลายราย ซึ่งหลายรายเป็นสถาบันการลงทุนระดับโลก เช่น บล. เจ.พี.มอร์แกน เรอแนซ็องส์ เทคโนโลยีส์ และไดเมนชั่นนัล ฟันด์ แอดไวเซอร์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เอชเอสบีซีตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมากมาย และถูกปรับหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงการฟอกเงินหลายบัญชีและการจัดตั้งแผนการเลี่ยงภาษีขนาดใหญ่ด้วย
5. ยูนิลีเวอร์ (UL)
ลำดับที่ห้าของเราคือยูนิลีเวอร์ บริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ยูนิลีเวอร์ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคหลายประเภท ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและของใช้ส่วนตัว ไปจนถึงอาหาร เครื่องปรุงรส และอื่นๆ อีกมากมาย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำหน่ายทั่วโลกในกว่า 190 ประเทศ และแยกออกเป็นแบรนด์ต่างๆ กว่า 400 แบรนด์ที่ยูนิลีเวอร์เป็นเจ้าของ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ได้แก่ โดฟ ลิงซ์/แอกซ์ เบนแอนด์เจอร์รี่ส์ ม็กนั่ม ซันซิล เฮลล์แมนส์ และอีกมากมาย ยูนิลีเวอร์อาศัยแบรนด์ที่รู้จักกันดีเหล่านี้เป็นกลยุทธ์ในการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ทำให้ต้องแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และเนสท์เล่
ยูนิลีเวอร์ก่อตั้งขึ้นในปี 1929 จากการควบรวมกิจการของบริษัทสบู่และเนยเทียม และยังคงเป็นผู้ผลิตสบู่รายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน ในช่วงหลายทศวรรษถัดมา ยูนิลีเวอร์ขยายกิจการของตนเองด้วยการกระจายสายผลิตภัณฑ์และเข้าซื้อกิจการหลายบริษัท ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญกับสายผลิตภัณฑ์ความงามและการดูแลสุขภาพมากกว่าแบรนด์อาหารที่เติบโตช้า
6. บีพี (BP)
บีพี (BP) เดิมชื่อ บริชทิช ปิโตรเลียม คอมปานี เป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร บริษัทนี้เป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลกในแง่ของรายได้ ณ ปี 2020 แต่มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงอย่างมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา บีพีดำเนินกิจการเช่นเดียวกับเชลล์ ถือเป็นหนึ่งในเจ็ด ‘บริษัทน้ำมันและก๊าซยักษ์ใหญ่’ ของโลก และยังขยายธุรกิจในแนวดิ่งด้วยการดำเนินงานในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในทุกด้าน
เดิมที บีพีก่อตั้งในปี 1908 ในฐานะบริษัทน้ำมันแองโกล-เปอร์เซียน และได้ผ่านการเข้าซื้อกิจการและการเปลี่ยนชื่อกิจการหลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา จนกลายเป็นบริษัทระดับโลกอย่างทุกวันนี้
บีพีมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซอุตสาหกรรมทั่วโลก 1.53% และเผชิญกับข้อโต้แย้งพอสมควร เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดคือเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของดีพวอเทอร์ฮอไรซัน ในปี 2010 ซึ่งถือเป็นอุบัติเหตุน้ำมันรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายให้บีพีสูงกว่า 65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
7. ดิอาจิโอ (DEO)
ลำดับที่เจ็ดของเราคือดิอาจิโอ บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ข้ามชาติ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในลอนดอน ดิอาจิโอมีโรงงาน 132 แห่งทั่วโลก เดิมเคยเป็นกิจการโรงกลั่นสุราขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนกระทั่งถูกกวางโจวเหมาไถของจีนแซงไปในปี 2017
บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 1997 จากการควบรวมกิจการของกินเนสส์ และแกรนด์ เมโทรโพลิแทน ปัจจุบันเป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำมากมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างแบรนด์เหล่านี้ได้แก่ กินเนสส์ เบลีย์ส สเมอร์นอฟฟ์ วอดก้า กัปตันมอร์แกนส์ รัม ทันกัวเรย์ จิน และจอห์นนี่วอล์กเกอร์ นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้นในแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ เช่น เวอฟคลีโคต์ และโมเอต์ เฮนเนสซี่
ในปี 2021 ดิอาจิโอประกาศแผนการขยายกิจการเตกิลาในเม็กซิโก โดยระบุว่าจะใช้เงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อขยายการผลิตที่นั่น
8. ริโอ ทินโต (RIO)
ลำดับที่แปดคือริโอ ทินโต ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนสองตลาดหลักทรัพย์ที่ซื้อขายทั้งในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนและตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย และมีสำนักงานใหญ่ร่วมทั้งในลอนดอนและเมลเบิร์น ริโอ ทินโต กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในปี 1873 เมื่อนักลงทุนบางส่วนซื้อเหมืองในพื้นที่แถบริโอ ทินโต ประเทศสเปน หลังจากผ่านกระบวนการอันยาวนานในการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ บริษัทได้กลายเป็นบริษัทโลหะและเหมืองแร่ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากบีเอชพี เท่านั้น โดยที่ธุรกิจหลักยังคงมุ่งเน้นไปที่การสกัดแร่ธาตุ แร่ธาตุบางอย่างที่ขุดหาได้แก่ อะลูมิเนียม ถ่านหิน ทองคำ แร่เหล็ก และเพชร และอื่นๆ อีกมากมาย
ริโอ ทินโตเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่เผชิญความขัดแย้งรอบด้าน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มสิ่งแวดล้อมและรัฐบาลนอร์เวย์เกี่ยวกับผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการรื้อถอนถ้ำโบราณในออสเตรเลียในปี 2020 อีกด้วย
9. บริติช อเมริกัน โทแบคโค (BAT)
ลำดับถัดไปคือบริษัทยาสูบที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากยอดขายสุทธิ ณ ปี 2019 บริติช อเมริกัน โทแบคโค (BAT) ก่อตั้งขึ้นในปี 1902 มีสำนักงานใหญ่ในลอนดอน และมีสินค้ามากกว่า 200 แบรนด์ ตัวอย่างเช่น ลักกีสไตรก์ พอลล์มอลล์ จาวานีส จองเกนส์ เอชบี และไวซรอย และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย
บริษัทขยายกิจการด้วยการเข้าซื้อกิจการอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ยาสูบ เมื่อไม่นานนี้ บีเอทีพยายามกระจายความหลากหลายของสินค้าด้วยการเข้าซื้อกิจการกัญชาที่ผลิตโดยออกานิแกรม 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตั้งอยู่ในแคนาดาในราคา 126 ล้านปอนด์ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ยาสูบและนิโคตินแล้ว บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์บุหรี่ไอน้ำ ผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบไม่เผาไหม้ที่ทันสมัยอีกด้วย
10. แกล็กโซสมิธไคลน์ (GSK)
ลำดับสุดท้ายของเราคือแกล็กโซสมิธไคลน์ (GSK) บริษัทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2000 จากการควบรวมกิจการของสมิธไคลน์ บีชาม และแกล็กโซ เวลคัม ปัจจุบันเป็นบริษัทยาที่ใหญ่เป็นอันดับสิบของโลก ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มูลค่าตามราคาตลาดของจีเอสเคลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นการลดลงเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าในเวลานี้ และเกือบจะหลุดออกจากรายการของเรา
การวิจัยของจีเอสเคทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตวัคซีนมาลาเรียตัวแรก ซึ่งบริษัทระบุว่าจะขายในราคาสูงกว่าต้นทุนเพียง 5% ในปี 2014 นอกจากนี้ บริษัทได้ผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายรายการที่อยู่ในรายชื่อยาจำเป็นขององค์การอนามัยโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของบริษัท
นอกเหนือจากความสำเร็จเหล่านี้ จีเอสเคยังเกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งมากมาย โดยเฉพาะในปี 2012 เมื่อบริษัททำผิดหลายข้อหาเรื่องแนวทางปฏิบัติและสารเสพติด ซึ่งนำไปสู่การจ่ายเงินชดเชย 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่เป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทยาและเป็นคดีฉ้อโกงด้านการรักษาพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ จนถึงทุกวันนี้
เราเชื่อว่าบทความนี้ได้ให้คำแนะนำและความรู้พื้นฐานแก่คุณในเรื่องประวัติศาสตร์และการดำเนินกิจการของสิบอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร ความเข้าใจภูมิทัศน์ทางการเงินของสหราชอาณาจักรเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดสำหรับนักเทรดในสหราชอาณาจักรและนักเทรดระหว่างประเทศ
หากคุณชอบโพสต์นี้ คุณอาจอยากอ่านบทความ สิบอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และ สิบอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐฯ ของเรา